ป้ายกำกับ: ประวัติและตำนาน

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นทางรถไฟสายมรณะ ได้ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และได้เกณฑ์เชลยศึกมาทำการก่อสร้างมากมายหลายชนชาติ และมีการล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกันเพราะว่าการขาดแคลนอาหาร และโรคภัยต่างๆ และการสร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำแควสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก

และใช้เวลาในการก่อสร้างเพียงหนึ่งปีก็เสร็จ  และได้ถูกระเบิดทิ้งลงกลางสะพานทำให้สะพานตรงกลางได้พังลง เมื่อสงครามโลกได้จบลงทางรับบาลไทยได้ขอซื้อสะพานนี้คืนจากกองทัพอังกฤษด้วยเงิน50ล้านบาท และได้ทำการซ่อมแซมได้เปลี่ยนจากไม้มาเป็นเหล็กที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน และยังได้ถูกยกย่องให้เป็นสะพานแห่งสันติภาพ ทางจังหวัดกาญจนบุรีจึงให้จัดมีงานประจำปีขึ้นที่สะพานแห่งนี้และได้มีการแสดง แสง สี เสียง และการย้อนเรื่องราวรำลึกถึงสงครามโลกครั้งที่2

ทางรถไฟสายมรณะ

ทางรถไฟนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อที่จะข้ามไปประเทศพม่า ได้เริ่มต้นทางจากประเทศไทยที่จังหวัดราชบุรี แล่นผ่านเจดีย์สามองค์ไปสิ้นสุดที่ประเทศพม่ามีระยะทางทั้งหมด 415 กิโลเมตร และ37สถานี และสะพานนี้ยังมีจุดหน้าสนใจอยู่ห่างจากจังหวัดกาญจนบุรีไปยังสถานีน้ำตกประมาณ77กิโลเมตร

และในปัจจุบันการรถไฟได้มีการบริการนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขบวนรถไฟจากกรุงเทพไปยังน้ำตกทุกเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการ และมีจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแควและทางโค้งมรณะ ซึ่งจะเป็นสะพานเรียบแม่น้ำไป 400เมตร

สะพานข้าแม่น้ำแควได้เป็นที่รู้จัก

สะพานแม่น้ำแควได้ถูกสร้างนำไปทำภาพยนตร์ และได้เป็นที่รู้จักของคนมากขึ้นจึงอยากมาดูประวัติศาสตร์และย้อนเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง ที่เมื่อทุกคนได้มาถึงจังหวัดกาญจนบุรีแล้วเป็นต้องมาที่บริเวณสะพานแห่งนี้ และยังมีสถานที่อีกที่ จะเรียกกันว่าสุสานจะมีการฝังศพของทหารที่มาเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งนั้นด้วย

การที่เราได้รู้ที่มาของสะพานข้ามแม่น้ำแควแห่งนี้แล้วเหมือนเป็นการสร้างสะพานที่แสนโหดร้าย ที่ต้องมีผู้คนเอาชีวิตมาทิ้งตรงบริเวณนี้มากมายเป็นหมื่นๆชีวิตเลยทีเดียว และการสร้างกว่าจะเสร็จลงได้ต้องผ่านกับเรื่องร้ายๆ

และยังจะโรคภัยที่มี หรือแม้แต่สงครามที่กำลังทำ และยังจะขาดแคลนอาหารอีก พวกเราคนยุคสมัยนี้ถือว่าโชคดีที่เกิดมาก็มาเจอกับสิ่งอำนวยความสะดวกเลย ถ้าไม่ได้อ่านประวัติก็จะไม่รู้เลยว่าการสร้างสะพานแห่งนี้ต้องแลกมากับชีวิตนับหมื่นคน

 

อย่าพึ่งชนแก้ว ถ้าคุณไม่รู้จักความหมายของมัน

อย่าพึ่งชนแก้ว ถ้าคุณไม่รู้จักความหมายของมัน

อย่าพึ่งชนแก้ว ถ้าคุณไม่รู้จักความหมายของมัน พอเข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองแน่นอนว่า การนั่งล้อมวงพูดคุยและสังสรรค์กับญาติรวมไปถึงเหล่าเพื่อนๆก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ จิบเบียร์เล็กน้อยพร้อมอาหารอันโอชะ หมูกระทะบ้าง กับแกล้มบ้างก็อร่อยไปอีกแบบ …“ชนแก้ว” จึงเป็นคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยในวงอาหารที่เมื่อไหร่มีการรวมกลุ่มรวมแก๊งกันจะมีเสียงแห่งความสุขนี้ปล่อยออกมาเสมอ แต่ทำไมเราถึงได้มีวัฒนธรรมในการชนแก้วทุกครั้งเมื่อถึงคราวแห่งการเฉลิมฉลอง

วัฒนธรรมการชนแก้วเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยยุโรปโบราณ ในช่วงนั้นยังคงมีการทำสงครามกันอยู่ เมื่อถึงคราวที่คู่ต่อสู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันจะต้องมานั่งปะทะกันต่อหน้าเพื่อรับประทานอาหาร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเชื่อใจฝ่ายตรงข้ามได้ถึงขนาดกินอาหารของอีกฝ่ายได้อย่างสนิทใจ แต่ด้วยความต้องการผูกมิตรและดูเชิงซึ่งกันและกัน ใจนึงก็อยากใจนึงก็ระแวง

จึงได้เกิดวัฒนธรรมการชนแก้วขึ้น ในสมัยก่อนเมื่อมีการชนแก้ว น้ำที่อยู่ในแก้วของแต่ละฝ่ายจะกระเด็นเข้ามาในแก้วของฝ่ายตรงข้าม ถ้าอีกฝ่ายแอบใส่ยาพิษเอาไว้ คนใส่เองก็จะโดนพิษนั้นไปด้วยซึ่งกุศโลบายนี้เองเป็นการวัดใจฝ่ายตรงข้ามว่าจะซื่อสัตย์ขนาดไหน ถ้าคิดไม่ซื่อก็ตายคู่กันไปเลย ในบางตำราก็จะบอกว่า การชนแก้วในสมัยก่อนจะมีการรินน้ำในแก้วของฝ่ายตรงข้ามให้กับอีกฝ่ายด้วยแล้วค่อยชนแก้วพร้อมเปร่งเสียงที่แสดงถึงความเป็นมิตรแก่กัน 

พอมาถึงในปัจจุบันวัฒนธรรมการชนแก้วนี้ก็ยังคงหลงเหลืออยู่และแผ่กระจายเข้ามาในหลายๆประเทศรวมถึงประเทศไทยที่มีการนำวัฒนธรรมนี้มาใช้ด้วย การชนแก้วถือเป็นการสร้างมิตร กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยความระแวงต่างๆนั่นไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในความหมายของการชนแก้วอีกแล้ว แม้ว่าคนที่เราไม่รู้จักกันมาก่อนเพียงเราถือแก้วไวน์เดินไปหาแล้วชนแก้วก็สามารถสร้างความรู้จักกันได้อย่างง่ายดายหรืออาจไปต่อกันที่ห้องเลยก็ไม่ใช่เรื่องยาก 

จะเห็นได้ว่า วัฒนธรรมการชนแก้วมีประวัติศาสตร์และความหมายที่ลึกซึ้ง แม้ระยะเวลาจะผ่านไปนานแต่ยังคงเหลืออยู่ซึ่งความหมายที่ดีๆซึ่งเป็นประเพณีที่มีอยู่ในทุกการเฉลิมฉลองไม่ว่าจะเป็นวงเหล้าหรือหรูหราถึงขั้นร้านอาหารเหลาแถวเยาวราชก็ชนแก้วกันได้

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  คาสิโนออนไลน์ฝากไม่มีขั้นต่ำ

ขูลู นางอั้ว

ขูลู นางอั้ว

ขูลู นางอั้ว

ขูลู นางอั้ว เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของภาคอีสาน แต่เรื่องเล่าก็จะแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน และเชื่อกันว่าในความรักที่แสนรันทดนั้นได้กลายมาเป็นชื่อของดอกกล้วยไม้หายากนั่นเอง

ประวัติขูลู นางอั้ว

เรื่องเล่าอยู่ว่าท้าวขูลู เป็นบุตรชายของเมืองนครกาสี และนางอั้ว เป็นบุตรตรีของเมืองกายนคร และกษัตริย์ของสองเมืองนี้เป็นเพื่อนรักกันมาก และได้ตกลงกันว่าเมื่อมีบุตรชายเหมือนกันก็จะให้เป็นเพื่อนรักกัน และถ้าฝ่ายใดมีบุตรเป็นชาย อีกฝั่งมีบุตรเป็นหญิงก็จะให้แต่งงานกัน และได้เกิดการตั้งครรภ์พร้อมกันขึ้นมาอีกด้วย ระหว่างที่ท้องอ่อนๆอยู่นั้นพระมารดาของนางอั้วก็ได้มาเยี่ยม พระมารดาของขูลู และเด็จไปยังสวนส้มโอด้วยกัน ทาวฝ่ายพระมารดาของนางอั้วเห็นส้มโอเข้าจึงเกดอยากจะกินมาก และได้ขอส้มโอจากพระมารดาของขูลู แต่นางไม่ให้เพราะส้มโอนั้นยังไม่สุก และสร้างความเจ็บใจ

และผูกใจเจ็บตั้งแต่นั้นเป็นต้นมและทั้งสองก็คลอดลูกออกมาในปีเดียวกัน และเมื่อท้าวขูลูมีอายุได้ 15 ปี ก็ได้มาเยี่ยมพระบิดาของนางอั้ว ทั้งสองได้เจอกันครั้งแรกก็เกิดความรัก ชอบพอกัน และเมื่อท้าวขูลูได้กลับไปยังบ้านเมืองของตนแล้วก็อดทนต่อความคิดถึงนางอั้วไม่ไหว จึงได้ให้พระบิดา และพระมารดาไปขอนางอั้วให้ตน

และเมื่อทางท้าวขูลู ได้ส่งแม่สื่อไปสู้ขอนั้นกับได้รับการปฎิเสธกลับมา สร้างความเสียใจให้กลับท้าวขูลูมาก ขุนลาง เป็นกษัตริย์แห่งเมืองขอมภูเขาก่ำ เป็นชนเผ่าที่ยังไม่เจริญนัก และได้ยินกิติศัพท์ความงามของนางอั้วว่างดงามยิ่งนักจึงอยากได้ไปเป็นมเหสีเช่นกัน และขุนลางนี้ได้มีมนต์สะกด และได้ส่งของกำนัลมาให้ทางฝ่ายพระมารดาของนางอั้ว และได้ใช้มนต์สะกดใส่มาในของกำนัลนั้นมาด้วย ทำให้พระมารดาของนางอั้วรักใคร่ในตัวของขุนลางเป็นอย่างมากและอยากได้เป็นลูกเขย

แต่นางอั้วไม่ยอมรับในตัวขุนลางแต่ทางพระมารดาตกปากรับคำขุนลางไปแล้ว เมื่อเรื่องรู้ไปถึงท้าวขูลู ก็ได้ให้พระบิดาทวงสัญญาที่ได้ให้ไว้เกิดขึ้นแต่ก็ถูกปฎิเสธมาเช่นเดิมและ บอกว่าการเลิกสัญญายกเลิกไปตั้งแต่นางขอผลส้มโอแล้วไม่ได้ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว และพระมารดาก็ได้ให้มีการจัดงานอภิเษกขึ้นอย่างรวดเณ้ว ได้สร้างความเสียใจให้แก่นางอั้ว และได้ให้คนไปบอกท้าวขูลู ให้มาพบตนที่อุทยานที่เคยเจอกัน และทั้งสองก็ได้เสียกันก่อนวันงานอภิเษกเพียงหนึ่งวัน

พระมารดาทราบข่าวว่าทั้งสองแอบพบกันจึงมาพาตัวนางอั้วกลับ และนางอั้วได้ตัดสินใจผูกคดตายในวันรุ่งขึ้น และเรื่องนี้รู้ไปถึงขูลูได้เกิดความเสียใจอย่างมากและได้ใช้พระขรรค์แทงคอตัวเองตายตามกัน ฝ่ายทางขุนลางเมื่อทราบข่าวว่านางอั้วตายแล้วจึงโดดลงจากหลังช้างที่นั่งมาทำพิธีแต่งงาน เมื่อเท้าเหยียบลงพื้นก็ถูกธรณีสูบร่างของขุนลางลงนรกไปทันที