เดือน: กุมภาพันธ์ 2022

ประวัติ พระเจ้าอโศกมหาราช

      พระเจ้าอโศกมหาราช เชื่อว่าหากพูดถึงบุคคลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา บุคคลที่ทุกคนรู้จักมากที่สุดคนหนึ่งคงหนี้ไม่พ้น พระเจ้าอโศกมหาราช เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก 

       สำหรับประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช นั้น ท่านเกิด ณ  พระราชวังเมืองปาฏลีบุตรซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ  โดยแค้วนดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์โมริยะมีพระมารดาคือพระนางจามเทวีมีพระบิดาคือพระเจ้าพิมพิสารโดยพระองค์เป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งในจำนวน 101 พระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร

       พระเจ้าอโศกมหาราชถือเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อโลกอย่างมากโดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์โดยมีการเปลี่ยนแปลงในชมพูทวีปครั้งยิ่งใหญ่การเปลี่ยนแปลงมากมายนั้นเกิดขึ้นเมื่อพระองค์นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาของพระองค์เมื่อเป็นดังนั้นแล้วประชาชนโดยทั่วไปจึงหันมาศึกษาและนับถือศาสนาด้วยเป็นจำนวนมากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมก็ได้รับการฟื้นฟูรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง คุณความดีของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นมีมากมาย 

      พระองค์ได้เป็นประธานอุปถัมภ์ให้พระสงฆ์ทำการสังคายนาครั้งที่ 3 จนแล้วเสร็จนอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชอย่างนิมนต์ให้พระสงฆ์ออกเดินทางไปประกาศศาสนาในราชอาณาจักรต่างๆถึง 9 สายด้วยกันจนหลายๆประเทศหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยในช่วงยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองแห่งพุทธศาสนาของแคว้นอย่างแท้จริง

    พระองค์ทรงประกอบพระราชสำนัก อย่างมากมายเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาทั้งการสร้างวัดซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าวิหารพระองค์ทรงสร้างวัดน้อยใหญ่ขึ้นแทบทุกพื้นที่ทั้งในเมืองหลวงปาฏลีบุตรอย่างวัดอโศการามและตามรอบนอกหัวเมืองต่างๆซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าพระองค์ทรงสร้างวัดทั้งสิ้นกว่า 84000 วัดเพื่อประสงค์ให้เทียบเท่าคำสอน 84000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้า

       นอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งเสริมพุทธศาสนาโดยการรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุจากหัวเมืองต่างๆที่เคยมีการบรรจุไว้แล้วขึ้นอีกครั้ง ครั้งแล้วยังส่งสั่งให้ก่อสร้างเสาหินประดับด้วยรูปสัตว์  อธิ  ช้าง   ม้า   วัว   สิงโต   ไว้บนยอดเสาตามเมืองต่างๆเพื่อยืนยันว่าสถานที่ที่มีเสาเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนาในแผ่นดินของพระองค์อีกด้วย

       จนเมื่อปลายราชวงศ์ของพระองค์แล้วนั้นพระพุทธศาสนาที่เคยเจริญก็เริ่มเสื่อมลงอีกครั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่พระพุทธศาสนาสูญหายในอินเดียไปกว่าพันปีจนท้ายที่สุดเมื่อนายพลอังกฤษอเล็กซานเดอร์คันนิ่งแฮมนำพาคณะโบราณคดีเข้ามาขุดค้นพุทธสถานจึงทำให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่สายตาชาวพุทธทั้งในอินเดียและต่างประเทศอีกครั้งนั้นก็คือผลแห่งพระราชศรัทธาของพระเจ้าอโศกมหาราชที่พระองค์ ทรงสร้างวัดเอาไว้มากมายถึงแปดหมื่นสี่พันแห่งนั่นเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  gclubฟรี500

อุทยานเทวลัยศาลาแก้วกู่ หรือว่าวัดแขก

อุทยานเทวลัยศาลาแก้วกู่

อุทยานเทวลัยศาลาแก้วกู่ สำหรับศาลาแก้วกู่หรืออุทยานแห่งความศรัทธา นี้ ขนาดมากกว่า 42 ไร่อยู่ที่ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ได้อยู่ห่างจากตัวเมืองอยู่เพียง3 เมตรท่านั้น สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวต่างเข้ามาชมความแปลกตา

เพราะว่าภายในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรูปปั่นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ที่มีความยิ่งใหญ่อลังการเป็นจำนวนมากกว่า 2000 องค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความศรัทธาแล้วก็ความเชื่อของปู่บุญเหลือ สตรีรัตน์ตั้งขึ้นเมือ พ.ศ. 2521

จากความเชื่อที่ว่าทุกศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยท่านต้องการให้เทวลัยแห่งนี้เป็นสถานที่เป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลส โดยรูปปั่นแต่ละองค์ในอุทยานแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของปู่บุญเหลือ เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยไม่มีการออกแบบหรือร่างแบบใดๆก่อนเลย แต่กับทำให้ลานแก้วกู่ดูยิ่งใหญ่และอลังการสวยงามมากๆเลยทีเดียว

โดยเทวาลัยต่างๆก็จะมีข้อมูลที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ตั้งแต่การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน รวมไปจนถึงเรื่องราวต่างๆตามตำนานความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู คริสต์ด้วย

ซึ่งก็จะมีบางส่วนได้ถูกสร้างให้เหมือนกัน วรรณคดี สุภาษิตโบราณ ถูกนำเอามาสร้างจัดแสดงเอาไว้อยู่ภายในสวนแห่งนี้ โดยบริเวณฐานของเทวารูปแต่ละองค์ก็จะมีคำอธิบายเป็นภาษาอีสาน ภาษาไทยกลาง ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของชิ้นงานแต่ละชิ้นของรวมไปถึงความหมายของชิ้นงานนั้น

เพื่อที่ให้นักท่องเที่ยวได้อ่านทำความเข้าใจรวมไปถึงซึมซับเอาคำสอนดีๆกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันโดยอย่างเช่น ประติมากรรมหมาเห่าช้าง ที่ได้มีการอธิบายความหมายว่า “หมาเห่าช้างช่างปากหมามันเถอะ แล้วแต่เวรกรรม ดูขนาดหมากับช้าง หมากัดขาหลังช้าง ก็ไม่ได้เลย

ซึ่งก็จะให้ความหมายเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเราว่า หากได้ยินใครนินทาหรือว่าร้าย ก็อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะมันก็เป็นแค่การนินทาทำอะไรเราไม่ได้มากหรอก แค่ทำแค่เพียงความลำคานก็เท่านั้น ซึ่งภายในศาลาแก้วกู่แห่งนี้ ก็จะเต็มไปด้วยคำสอนที่สามารถมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่สำหรับเทวารูปที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

ก็คงไม่พ้นรูปปั่นที่อยู่ตรงช่วงกลางของศาลาแก้วกู่แห่งนี้ ที่จะมีรูปปั่นที่จะมีลักษณะคล้ายกับเจ้าแม่นาคี ที่ปรากฏอู่ในละครเรื่องนาคีเลยนั้นเอง โดยรูปปั่นนี้ส่วนบนจะเป็นมนุษย์ แต่จะมีส่วนล่างที่คล้ายกับพญานาคีแล้วก็มีบริวารปกป้องอยู่ด้านล่าง มีขนาดความยาว 24  เมตร  ซึ่งได้สร้างทำใหม่เมื่อปี พ.ศ.2546 ใต้ฐานของรูปปั่นนี้จะมีการสลักเรื่องราวว่าของ เทวาลัยปางนี้ไว้อยู่ด้วย 

 

สนับสนุนโดย.  ufabet เว็บแม่

ผ้าไหมไทย : มาดูประวัติของผ้าไหมไทยกันเถอะ

ผ้าไหมไทย

ผ้าไหมไทย    เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักไหมกันเป็นอย่างดีเพราะมันคือเส้นใหญ่ที่ถูกนำมาจากตัวไหมหรือตัวหนอนก่อนที่มันจะกลายเป็นผีเสื้อนั่นเองซึ่งเส้นใยนี้จะมีความคงทนแข็งแรงเหนียวและมันวาวและนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงมักนิยมนำเส้นใหม่นี้มาใช้ในการทอเป็นผืนผ้า

       เส้นไหมหนึ่งในเส้นใหญ่จากธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์คาดว่าถือกำเนิดมาตั้งแต่ 60 ปีก่อนมีหลักฐานการค้นพบดังไหมผ่าครึ่งในพื้นที่วัฒนธรรมอย่างเฉาเหว่ยเจี้ยนมณฑลส่านซีชาวจีนรู้จักที่จะนำเส้นไหมที่ได้จากตัวใหม่มาถักทอทั้งในรูปของพื้นผ้าอุปกรณ์ตกปลาเครื่องเขียนและเครื่องดนตรีในสมัยราชวงศ์ฮั่นเส้นใหม่สงวนไว้ใช้กับฮ่องเต้และในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น

      ต่อมาได้กลายเป็นของมีค่าเป็นรางวัลที่มอบให้กับขุนนางที่ทำความดีความชอบและกลายมาเป็นสินค้าที่นานาชาติยอมที่จะนำทองคำมาแลกเปลี่ยน และมีการสร้างเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางทางการค้าที่สำคัญ การส่งผ่านเส้นไหมก็ยังอาหรับและตะวันตกตลอดจนมีการถ่ายทอดความรู้ในการผลิตเส้นไหมในดินแดนต่างๆของทวีปเอเชียในเวลาต่อมา 

        สำหรับต่างโบราณนั้นมีการระบุว่าคนที่ค้นพบหนอนไหมเป็นคนแรกและนำหนอนไหมมาริเริ่มในการทอเป็นผ้าไหมนั่นก็คือพระมเหสีของพระเจ้าจึงตีนั้นเองด้วยว่ากันว่าพระนางองค์นี้นั้นได้ไปเจอหนอนไหมเข้าบังเอิญหลังจากนั้นจึงได้มีการนำใยไหมมาใช้ในการทอผ้าไหมและได้มีการเผยแพร่ออกไปในอาณาจักรใกล้เคียงซึ่งพระมเหสีของพระเจ้าอื่นที่นั้นก็คือพระนางง่วนฮุย นั่นเอง 

      อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเทศไทยนั้นจะไม่ใช่เป็นประเทศแรกที่รู้จักเส้นไหมและไม่ได้มีการผลิตผ้าไหมเป็นประเทศแรกแต่ก็ได้รับวัฒนธรรมมาเช่นเดียวกันซึ่งประเทศไทยนั้นเกี่ยวข้องกับผ้าไหมมาไม่ต่ำกว่า 3000 ปีเช่นเดียวกัน

ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีความเก่าแก่โบราณมากเช่นเดียวกันโดยมีการค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของผ้าไหมครั้งแรกในจังหวัดที่อยู่ในเขตภาคอีสาน ซึ่งก็คือจังหวัดอุดรธานี 

       อย่างไรก็ตามปัจจุบันการเลี้ยงไหมเพื่อทำผ้าไหมนั้นไม่ได้มีทางเฉพาะในเขตของจังหวัดในภาคอีสานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่มีการกระจายไปในหลายจังหวัดของประเทศไทยเลยทีเดียวซึ่งการกระจายเกี่ยวกับเรื่องของการทอผ้าไหมนั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีแล้วโดยสามารถตรวจสอบหลักฐานต่างๆเหล่านี้ได้จากมีการบันทึกเอาไว้ในพงศาวดารนั่นเอง

      ปัจจุบันผ้าไหมของไทยนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวเนื่องจากว่ามีการทอออกมาและออกแบบลวดลายที่สวยงาม 

 

สนับสนุนโดย.    ufabet สมัครสมาชิก

ตำนานของวันตรุษจีน และที่มาของความเชื่อเกี่ยวกับสีแดงในวันตรุษจีน 

 

      ตำนานของวันตรุษจีน  เชื่อว่าคนไทยเชื้อสายจีนหรือแม้แต่คนจีนเองไม่มีใครไม่รู้จักเทศกาลวันตรุษจีนกันอย่างแน่นอนเพราะจะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและเราก็จะมักจะเข้าไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของประวัติความเป็นมาของวันตรุษจีนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อของเทศกาลวันตรุษจีน

ว่าข้าวของที่ถูกนำมาไหว้นั้นหรือข้าวของที่นำมาประดับประดาตกแต่งในเทศกาลวันตรุษจีนนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของประวัติความเป็นมาของวันตรุษจีนและที่มาของความเชื่อของสีแดงในเทศกาลวันตรุษจีน 

        สำหรับวันตรุษจีนนั้นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจตนหนึ่งซึ่งปีศาจตนนี้มีชื่อว่าเหนียน ซึ่งทุกท่านค่ะวันนั้นได้มีการสั่งลงโทษเอาไว้แต่จะมีข้อยกเว้นให้ว่าใน 1 ปีนั้นจะมีวันหนึ่งที่ไม่ต้องถูกลงโทษ ซึ่งวันดังกล่าวนั้นจะทำให้เป็นวันที่คำสาปนั้นหมดฤทธิ์ ทำให้คำสาปจะคลายลงในวันสิ้นปีของจีนซึ่งก็คือวันก่อนตรุษจีน 1 วัน

        และในวันนั้นเองปีศาจเหนียน ก็จะออกมาทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นพืชผล  สัตว์เลี้ยง  บ้านเรือนและมนุษย์  ดังนั้นชาวบ้านทั้งหมดในหมู่บ้านก็จะอพยพไปหลบอยู่ในป่าเขาเพื่อรอให้ผ่านพ้นวันนั้นไปก่อนแล้วจึงกลับออกมา  จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีชายชรา ผมขาวเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านและอาสาที่จะกำจัดปีศาจร้ายตัวนี้แม้ว่าชาวบ้านจะเตือนเขาแล้วแต่เขาก็ไม่ฟังแล้ว 

       และเมื่อปีศาจ เหนียน ออกมาในหมู่บ้านเพื่อที่จะทำลายข้าวของและจับมนุษย์ กินเป็นอาหาร ชายชราผมขาวก็เริ่มจุดประทัดเสียงดังปีศาจมองเห็นประทัดก็ตกใจและหวาดกลัวไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้  ด้วยสีแดงของไฟและเสียงระเบิดของประทัดที่ดังกึกก้องตอนนั้นเองประตูก็เปิดออกชายชราที่สวมเสื้อผ้าสีแดงสดก็หัวเราะเสียงดังออกมาทำให้เหนียนตกใจและหนีไปด้วยความหวาดกลัว

       ในวันต่อมาเมื่อเหล่าบรรดาชาวบ้าน ได้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ  ufabet ฝากถอน ไม่มีขั้นต่ำ ออโต้ ที่พบว่าบ้านเรือนและข้าวของทุกอย่างปลอดภัยไม่ได้ถูกแตะต้องใดใด เลยและสุดท้ายทุกอย่างก็ชัดเจนว่าชายชราคนนั้นก็คือเง็กเซียนฮ่องเต้และชราก็บอกเคล็ดลับในการปราบปีศาจเหนียนที่ง่ายดาย 3 อย่างนั้นก็คือสีแดง  แสงไฟส่องสว่างและเสียงที่ดังกึกก้องเหมือนประทัดนั่นเอง

       ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านจึงนิยมจุดประทัด ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง  และใช้โคมไฟของต่างๆให้เป็นสีแดง รวมไปถึงเปิดไฟให้แสงสว่างตลอดช่วงเวลาวันปีใหม่หรือวันตรุษจีนนั่นเอง ซึ่งก็ถือเป็นวันเทศกาลสำคัญของชาวจีนในการเฉลิมฉลองวันแรกของปีใหม่ตลอดมา 

        นี่จึงเป็นที่มาที่ว่าสำหรับชาวจีนนั้นทำไมสีแดงถึงเป็นสีมหามงคลที่เป็นสิริมงคลของชาวจีนก็เพราะเชื่อว่าจะปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและสร้างความสุขได้นั้นเอง